ก็ดีนะ แม้กระนั้นมันคงจะดีกว่านี้ได้อี





สวัสดีนะครับท่านคนอ่าน หลังจากที่ผู้เขียนก็เขียนเรื่องหนักๆมาเยอะแยะแล้ว มาเปลี่ยนบรรยากาศรีวิวหนังกันสักนิดเป็นไรขอรับ หลังจากที่เมื่อวันก่อนได้นั่งดูเรื่อง RUROUNI KENSHIN: The Final ทาง Netflix ก็จะขอรีวิวความรู้สึก ความตรึงใจที่ได้ดูประเด็นนี้แบบกระชับที่สุดเท่าที่จะทำเป็นครับ

เรื่องราว 037hd



ในฐานะที่นักเขียนเองอ่านการ์ตูนเรื่องนี้มาตั้งแต่ยุคเรียนมหาลัย เรียกว่าตามอ่านเป็นแฟนประจำใน C-Kid อ่านตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบบริบูรณ์ เคนชินมีลูกกับค้างโอรุอย่างยิ่งจริงๆ ส่วนแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Live Action ก็มองหมดเลยตั้งแต่ภาค 1 ถึงภาค 3 คือเอาจนถึงจบภาคชิชิโอะเลย ซึ่งอยากจะกล่าวว่าภาค 1 และก็ภาค 2 ทำได้ดี บรรยากาศในหนังก็เรียกว่าใช้ได้ ให้ความรู้สึกสมจริงสมจัง ท้อแท้ปนสยองขวัญหน่อยๆในบางฉาก แต่ว่าจุดที่ประทับใจที่สุดในภาคแรกรวมทั้งภาคสองคือการจุดโฟกัสไปถึงอารมณ์ชีวิตของผู้แสดงนำชาย ผู้ซึ่งเป็นเหมือน “ทหารใช้แล้วทิ้ง” ของคณะปฏิวัติที่ได้กลายเป็นรัฐบาลใหม่ น่าอนาถจริงๆนะครับชีวิตเคนเคยชินเนี่ย อุตส่าห์ไปรบ สู้เสี่ยงชีวิตและเลือดเนื้อ (เพราะเหตุว่าเชื่อในอุดมการณ์ชมเชยจักรพัตราธิราช ทำลายรัฐบาลโชกุน 尊王倒幕 ดื้อรั้นโนโทบากุ) แม้กระนั้นท้ายที่สุดพวกที่อยู่เบื้องบนกลับได้ดี ส่วนตัวเองนั้นไม่ได้อะไรสักอย่างจำเป็นต้องออกมาเดินย่ำต๊อกตามถนน แต่เขาก็เป็นคน มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน ซึ่งจุดนี้คนเขียนมีความคิดว่าหนังภาคแรกและภาคสองนั้นทำเป็นดี น่าประทับใจมากกว่าการ์ตูนต้นฉบับซะอีก

(พูดถึงชีวิตจะต้องออกมาย่ำต๊อกตามถนนหนทางของเคนเคยชิน จะพูดว่าอย่างน้อยเคนคุ้นชินยังโชคดีที่ไม่พบเรื่องราวแบบ “เสร็จทุ่งนาฆ่าวัวถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” เหมือนอย่างที่ชิชิโอะเจอ กระทั่งกลายเป็นความบ้าคลั่งแค้นที่ทำให้ชีวิตของเคนชินต้องมายุ่งกับเรื่องที่ไม่ต้องการที่จะอยากยุ่ง แม้กระนั้นก็จำต้องยุ่งส่วนใดส่วนหนึ่งเพราะความรู้สึกว่าที่ว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ หลังจากที่ท่าน รมต. กระทรวงมหาดไทยโอปะทุโบะถูกฟันตายน่าสังเวช)

แม้กระนั้นพอเพียงมาภาคที่ 3 ด้วยการย่อเรื่องราวรายละเอียดหลายอย่างทำให้บางจุดที่คาดหวัง เป็นต้นว่า ฉากแอ็คชั่นสนุกๆการดวลกันระหว่างพวกฝ่ายดารานำชาย ทั้งซาโนะ ไซโต้ กับพวก “จุปปงกาตานะ” (ดาบสิบเล่ม) ถูกลดจนกระทั่งกร่อยไปอย่างโชคร้าย (คนใดกันที่อ่านการ์ตูนจะทราบดีว่า Final Fight ระหว่างข้างเคนเคยชินกับจุปปงกาตานะ ทั้งตอนซาโนะปะทะอันจิ ตอนไซโต้ปะทะอุซุยเนี่ย มันมากๆแต่ว่าหนังตัดทอนไปอย่างไม่น่าให้อภัย) บอกตรงๆว่าภาค 3 ก็เลยเป็นอะไรที่สำหรับผู้เขียนแล้วออกจะน่าผิดหวัง

ส่วนภาค The Final ที่จับเอาเรื่องราวของภาคเอนิชิ น้องชายของโทโมเอะ (นางอันเป็นคนที่ยิ่งกว่า “รักในรอยโกรธแค้น” ของเคนคุ้นชิน) มาทำเป็นหนังจบในประเด็นนั้น ประการแรกอยากจะกล่าวว่าส่วนตัวแล้วผู้เขียนมิได้ชอบใจกับภาคเอนิชิมากแค่ไหน ด้วยเหตุว่ารู้สึกอารมณ์เหมือนกับว่าคนเขียนยืดเรื่อง (อารมณ์คล้ายละครช่องหลากสี เพียงพอมองเห็นเรื่องนี้ขายดิบขายดีก็ไม่ยินยอมจบซะงั้น) เพราะความรู้สึกมันราวกับว่าการ์ตูนหัวข้อนี้มันจบตรงที่เคนคุ้นชินเอาชนะชิชิโอะได้แล้วเท่านั้นเอง แต่ก็อารมณ์แบบว่าไหนๆก็อ่านการ์ตูนประเด็นนี้มาแต่แรกและจากนั้นก็อ่านมันไปจนกระทั่งจะจบแล้วกัน เพราะฉะนั้นพอมาเป็นหนัง ผู้เขียนก็เลยมิได้มุ่งมาดอะไรมาก แต่ขนาดมิได้คาดหมายอะไรมากก็ยังรู้สึกผิดหวังอยู่ในหนแบบเดียวกัน



จุดที่ผิดหวังในเรื่องนี้ก็นั่นแหละครับผมคล้ายๆกับภาค 3 คือการจุดโฟกัสในเชิงเนื้อหานั้นไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ยกตัวอย่างเช่นฉากที่เอนิชิบุกโตเกียว คิดออกลางๆว่าในการ์ตูนสู้กันมันกว่านี้มากมาย ส่วนการเล่าเรื่องสมัยก่อนรักในรอยแค้น ระหว่างเคนชินกับโทโมเอะ รวมทั้งความเป็นมาของฉากท้ายที่สุดที่แปลงเป็นเรื่องโศกเศร้า (เอาดาบฟันคนใดกันแน่ไม่ฟันดันฟันเมียตัวเองตาย อันเป็นจุดพีคที่ทำให้น้องชายของภรรยามาล้างแค้น) การเล่าเรื่องก็ไม่มีเวลารวมทั้งพื้นที่มากพอที่จะ build อารมณ์ ให้รู้สึกเชื่อตามมากพอ ฉากสุดท้ายที่เคนชินแล้วก็พวกบุกเข้าไปสู้กับเอนิชิ ก็ทำออกมาได้มึนๆยกตัวอย่างเช่นเห็นกันอยู่หลัดหลัดว่าค้างโอรุไปติดอยู่ที่เกาะที่แห่งไหนสักที่ แล้วจู่ๆโผล่มาในฉากในที่สุดได้อย่างไร

แต่ว่าก็เอาเถอะนะครับไหนๆภาคนี้ก็เป็นภาคสุดท้ายจบเนื้อเรื่องพอดีแล้ว ก็มองกันให้จบขอรับ doomovie hd เหมือนกับขณะที่อ่านการ์ตูนนั่นแหละ ซึ่งฉากจบในหนังจบเพียงแต่เคนชินกับคาโอรุเดินไปด้วยกันคล้ายๆกับว่าสองคนนี้จะยินยอมตกล่องปล่องชิ้นกันแล้ว แต่ส่วนตัวชอบฉากจบในการ์ตูนมากกว่าครับ ทำนองว่าเคนคุ้นชินตัดสินใจไม่แตะต้องกระบี่แล้วจริงๆเพราะเหตุว่าสังขารไม่ให้ อยู่กินกับค้างโอรุมีลูกด้วยกันหนึ่งคน และจากนั้นก็มอบดาบสลับคมให้ยาฮิโกะ (ซึ่งในขณะนั้นเป็นนักกระบี่ชายหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงไปแล้ว) ไป นั่นคือการจบที่แท้จริงครับผม จบตรงที่ว่าถึงจุดที่เคนชินละปล่อยวางจากสิ่งที่ตนเองเคยเป็นจริงๆแล้วก็ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าถึงไม่มีดาบก็ยังจะใช้ตัวหนังสือ ใช้สื่อสิ่งพิมพ์นี่แหละต่อสู้กับรัฐบาลเมจิต่อไป

จริงๆการ์ตูนประเด็นนี้ถ้าหากเล่นดีๆเปลี่ยนโทนการเล่าเรื่องสักหน่อยจะเปลี่ยนเป็นการ์ตูนเหน็บแนมหรือ “เปิดโปง” ความไม่ดีงามของรัฐบาลเมจิเลยก็ยังได้ จะเปลี่ยนเป็นการ์ตูนเสียดสีการเมืองแบบอิงประวัติศาสตร์ไป (ในหนังนี่บอกตรงๆมองเห็นคนอย่าง อิโต้ ฮิโรบุไม่ โผล่มานี่ แค่ดูบทในหนังแล้ว นึกในใจว่า “คนพรรค์อย่างงี้จำต้องไม่ตายดีแน่” ซึ่งในประวัติศาสตร์จริงๆก็มิได้ตายดีจริงๆด้วย คือโดนคนเกาหลียิงตาย) แม้กระนั้นก็อย่างว่าล่ะครับมันเป็นการ์ตูนโชเน็น เป็นการ์ตูนเด็กนักเรียนชั้นประถมมัธยมอ่านกัน บวกกับความเป็นการ์ตูนค่ายตลาดอย่างชูเอย์ฉะด้วย ก็เลยต้องเขียนการ์ตูนออกมาแบบเอาใจตลาด คือเน้นฉากบู๊ ปนเรื่องรักโรแมนติกหน่อยๆวางแบบนักแสดงหลุดสมัยอย่างกับหลุดมาจากการ์ตูนมาร์เวลหรือไม่ก็เกมซามูไรสปิริต เพราะถ้าหากเขียนใส่รายละเอียดเข้มๆอิงประวัติศาสตร์ เหน็บแนมการบ้านการเมือง มันจะกลายเป็นการ์ตูนผู้ใหญ่อ่านไปเสียน่ะครับผม

เอาละขอรับ ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ ท่านผู้อ่านถ้าเกิดท่านไหนสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น Post-modern ก็แนะนำหัวเรื่องหรือแง่มุมที่ต้องการให้ค้นคว้ากันมาได้นะครับ สำหรับวันนี้ขออำลาแต่เพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ


















สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.doo-movie.co

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *